ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

* ผู้ประกอบการ กับ ผู้บริโภค (Business to Consumer : B2C) คือการค้าระหว่างผู้ค้าโดยตรงถึงลูกค้าซึ่งก็คือผู้บริโภค เช่น การขายหนังสือ ขายวีดีโอ ขายซีดีเพลง เป็นต้น
* ผู้ประกอบการ กับ ผู้ประกอบการ (Business to Business :B2B) คือการค้าระหว่างผู้ค้ากับลูกค้าเช่นกัน แต่ในที่นี้ลูกค้าจะเป็นในรูปแบบของผู้ประกรอบการ
* ผู้บริโภค กับ ผู้บริโภค (Consumer to Consumer :C2C) คือการติดต่อระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคนั้น มีหลายรูปแบบและวัตถุประสงค์ เช่นเพื่อการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ในกลุ่มคนที่มีการบริโภคเหมือนกัน หรืออาจจะทำการแลกเปลี่ยนสินค้ากันเองขายของมือสองเป็นต้น
* ผู้ประกอบการ กับ ภาครัฐ (Business to Government : B2G) คือ การประกอบธุรกิจระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ ที่ใช้กันมากก็คือเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ หรือที่เรียกว่า E-Government Procurement ในประเทศที่มีความก้าวหน้า ด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว รัฐบาลจะทำการซื้อ จัดจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายเช่น การประกาศจัดจ้างของภาครัฐในเว็บไซต์ http://www.mahadthai.com/
* ภาครัฐ กับ ผู้บริโภค (Government to Consumer : G2C) คือ การบริการของภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยเองก็มีให้ปริการแล้วหลายหน่วยงาน เช่น การคำนวณและเสียภาษีผ่านอินเตอร์เน็ต การให้บริการข้อมูลประชาชนผ่านอินเตอร์เน็ต เป็นต้น เช่นข้อมูลการติดต่อการทำทะเบียนต่างๆของกระทรวงมหาดไทย ประชาชนสามารถเช้าไปตรวจสอบว่าต้องใช้หลักฐานอะไรบ้างในการทำเรื่องนั้นๆ และสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มบางอย่างจากบนเว็บไซต์ได้ด้วย

กระบวนการพื้นฐาน เกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

* ลูกค้า เลือกรายการสินค้า ของผู้จำหน่าย (Catalog)
* ลูกค้า ส่งคำสั่งซื้อ ให้ผู้จำหน่าย (Order)
* ลูกค้า ชำระเงิน ให้ผู้จำหน่าย (Payment)
* ลูกค้า รอรับสินค้า จากผู้จำหน่าย (Shipping)

การคุ้มครองผู้บริโภค

กฎหมายในประเทศต่าง ๆ ปกป้องสิทธิของผู้บริโภคโดยเฉพาะการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต
ซึ่งผู้ขายสินค้าอาจถูกปฏิเสธการชำระเงินด้วยสาเหตุเหล่านี้ได้
  1. โดยหลักการกฎหมายทั่งไปการทำสัญญาโดยผู้เยาว์มักถูกพิจารณาให้เป็นโมฆะ
    ซึ่งการชื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตนั้นผู้ขายไม่มีทางทราบว่าผู้ธุรกรรมอยู่เป็นผู้เยาว์หรือไม่เช่นเด็กอาจขโมยหมายเลขบัตรเครดิตจากผู้ปกครองมาใช้อย่างไรก็ตาม กฎหมายบางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส ถือว่าผู้ปกครองยังคงต้องรับผิดชอบการใช้บัตรเครดิตนั้นเต็มจำนวนเนื่องจากเป็นการเลินเล่อของตน
    ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีการกำหนดกรอบความรับผิดชอบไว้ระบบกฎหมายนี้มีไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ช่องโหว่โดยให้เด็กเป็นผู้ทำธุรกรรมให้
  2. การค้ากับลูกค้าในยุโรปจะอยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค Directive on Consumer
    Protection as Regards Contracts Between Absents ซึ่งการค้าอินเทอร์เน็ตอยู่ในข่ายนี้ด้วย
    โดยให้สิทธิ์ผู้ชื้อในการยกเลิกการตัดสินใจภายใน ๗ วันหลังจากได้รับสินค้า
    หรือบริการได้ โดยไม่คำนึงว่าจะชำระเงินด้วยวิธีใดและหากเป็นการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตผู้ชื้อสามารถยกเลิกการชื้อนั้นได้เลยยกเว้นผู้ขายจะพิสูจน์ได้ว่าผู้ชื้อมีเจตนาทุจริต
  3. ปัจจุบันแต่ละประเทศในยุโรปใช้ Directive นี้แตกต่างกันไป เช่น
  4. ในฝรั่งเศสให้เวลาผู้ชื้อคือสินค้าภายใน ๗ วัน ในขณะที่เยอรมันและอังกฤษให้เวลา ๑๖
    วัน ส่วนในอิตาลีนั้นไม่จำกัดเวลาแต่ให้สิทธิ์ผู้ชื้อคืนสินค้าได้เสมอหากสินค้าที่สั่งนั้นไม่ตรงกับที่ระบุในคำสั่งชื้อ
  5. ประเทศสหรัฐอเมริกามีกฎหมาย Fair Credit BillingAct ซึ่งจำกัดความรับผิดชอบสูงสุดของผู้ชื้อไม่เกิน ๒๐๐เหรียญสหรัฐหากมีข้อขัดแย้งกับผู้ขาย ส่วน อังกฤษมีกฎหมาย Consumer Credit Act
    1974 ในเนื้อหาคล้ายกันโดยจำกัดความรับผิดชอบของเจ้าของบัตรไม่เกิน ๕๐ ปอนด์
    และที่เหลือรับผิดชอบโดยธนาคารผู้ออกบัตรของผู้ชื้อ

ข้อมูลส่วนบุคคล

* ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่มีกฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัว
โดยห้ามการดักฟังหรือขโมยข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่าย ยกเว้นแต่ว่าได้รับการอนุญาตจาก รัฐบาล
* ในอดีตเคยมีเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทยแห่งหนึ่งถูกนักศึกษาในประเทศอังกฤษลักลอบเข้าไปดูข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าในระบบคอมพิวเตอร์ และนำ
หมายเลขบัตรเครดิตออกมาเผยแพร่เพื่อแสดงว่าตนเองมีความสามารถเจาะระบบของเว็บไซต์แห่งนั้นได้
* ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายที่สามารถคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
นั้นคือ พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐
* แต่อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ควรคำนึงถึงเสมอว่า
“ไม่มีเว็บไซต์ใดที่ไม่สามารถถูกเจาะระบบได้”
* ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มักมองช่องทางการตลาดได้ว่าการประมวลผลข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้านั้นเป็นประโยชน์ต่อการเสนอสินค้าหรือบริการที่เหมาะกับลุกค้า
* กฎหมายของยุโรปห้ามการทำซ้ำข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าและเผยแพร่
ส่วนในกรณีการเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวบนเว็บไซต์สาธารณะหรือนิวส์กรุ๊ปนั้น
กฎหมายส่วนใหญ่มองว่าเจ้าของเว็บไซต์ต้องร่วมรับผิดชอบด้วยในฐานะผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา
* การควบคุมกันเองในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีวิธีป้องกัน 2 แนวทาง คือ
1. บริษัทกลุ่มผู้ผลิตซอฟต์แวร์ได้เสนอมาตรฐานข้อมูลส่วนตัว OpenProfiling Standard (OPS)
2. การรวมตัวของบริษัทต่าง ๆ ตั้งองค์กรที่เรียกว่า TRUSTe

ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เนื้อหาสำคัญของข้อตกลงนี้คือ

  1. สัญญาซื้อขายไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปเอกสารที่เป็นกระดาษเสมอไป
    และไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปแบบฟอร์มมาตรฐาน แต่สิ่งสำคัญในการพิสูจน์สัญญาคือพยาน
  2. ข้อเสนอขาย
    ถือว่ามีผลบังคับใช้เมื่อข้อเสนอนั้นถูกส่งถึงผู้ถูกเสนอ
    ผู้ส่งข้อเสนอเป็นผู้รับความเสี่ยงหากสารนั้นตกหล่นกลางทาง
    และไปไม่ถึงมือผู้รับข้อเสนอ ดังนั้นหากผู้ขายสินค้าต้องการส่งใบเสนอราคาให้ลูกค้าด้วยไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ของลูกค้าแม้ว่าลูกค้าจะยังไม่เปิดอ่านก็ตามส่วนการขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ให้ถือว่าข้อเสนอนั้นมีผลบังคับใช้เมื่อผู้ขายเผยแพร่ข้อเสนอการขายบนเว็บไซต์
  3. การตอบรับข้อเสนอการขายโดยผู้ซื้อนั้นจะต้องอยู่ในรูปข้อความและจุถือว่าสัญญาเกิดขึ้นเมื่อผู้เสนอขายได้รับข้อความนั้นแล้วเท่านั้นโดยนัยนี้ผู้เสนอขายไม่สามารถอ้างได้ว่าการไม่ตอบรับของผู้ถูกเสนอคือการยอมรับข้อเสนอ

กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ

การขายสินค้าบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอาจได้รับคำสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าต่างประเทศ
หากเกิดกรณีพิพาท ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่อยู่คนละประเทศกฎหมายการค้าระหว่างประเทศที่ใช้ในการตัดสินคือ ข้อตกลงเวียนนาซึ่งนานาประเทศได้ตกลงกันที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ในวันที่ ๑๑ เมษายนค.ศ.๑๙๘๐ ทั้งนี้คู่กรณีทั้งสองจะต้องอยู่ในประเทศที่ยอมรับข้อตกลงนี้ด้วย